BigKaset Center ได้รับข้อมูลดีๆ จากศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 9 จังหวัดสุพรรณบุรี เลยขอพาเกษตรกรมารู้จัก สับปะรดรับประทานผลสดพันธุ์ดี ที่ชื่อ “MD2” พร้อมเทคนิค เคล็ดลับวิธีการปลูก และการดูแลแบบละเอียด ปัจจุบันสับปะรดรับประทานผลสดพันธุ์ MD2 ในประเทศไทยที่มีการผลิตและใช้ชื่อเรียกกันตามเจ้าของผู้ผลิต เช่น สับปะรดหอมสุวรรณ, สับปะรดเหลืองสามร้อยยอด, สับปะรดหอมทองเมืองราช และสับปะรดสยามโกลด์ เป็นต้น
หลังจากที่มีการเปิดตัว สับปะรดรับประทานผลสดพันธุ์ MD2 กระแสการตอบรับของผู้บริโภคโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของโลก ได้เปลี่ยนมาบริโภคพันธุ์นี้กันเป็นส่วนใหญ่ และสับปะรดรับประทานผลสดพันธุ์ MD2 สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูป ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรดพร้อมดื่ม สับปะรดกวน และไอศกรีมสับปะรด เป็นต้น
สับปะรดพันธุ์ดังกล่าว เป็นสับปะรดที่พัฒนาขึ้นที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ขนส่งทางเรือได้โดยไม่เป็น “ไส้สีน้ำตาล” สามารถอยู่ในห้องเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส นานกว่า 10 วัน รสชาติหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อมีสีเหลืองเข้ม เนื้อตัน แน่นไม่เป็นโพรง น้ำหนักผลโดยเฉลี่ย 1.7-1.8 กิโลกรัมมีวิตามินซีสูงถึง 4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสับปะรดพันธุ์อื่น ๆ
ข้อดีของการใช้พืชพันธุ์ดีนี้ คือ
1.ช่วยเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต
2.ช่วยลดต้นทุนการผสิต และเพิ่มมูลค่าของผลผลิตภาคการเกษตร
3.มีรูปลักษณ์ รสชาติ สีสัน ตรงตามความต้องการของตลาด
4.มีความสม่ำเสมอของสายพันธุ์
5.ทนทานต่อโรค และแมลง สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ได้ดี
วิธีการ ขั้นตอนการปลูก
การเตรียมแปลงปลูกควรทำแปลงยกร่องให้สันร่องกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร เว้นช่องทางเดิน
70 เซนติเมตร บนร่องปลูกต้นสับปะรดเป็นแถวคู่ ใช้ระยะปลูก 30×30 เซนติเมตร คลุมร่องด้วยพลาสติกดำ
ในพื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 8,500 ต้น
การเตรียมหน่อพันธุ์หรือจุก ก่อนปลูก
ส่วนมากจะใช้วิธีการ “ชั่งน้ำหนัก” เพื่อแบ่งแยกขนาดของตันพันธุ์ก่อนนำไปขยายพันธุ์ เช่น ใช้หน่อที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 200 กรัม ขึ้นไป แล้วก็จะแบ่งย่อยเป็นน้ำหนักที่ใกล้เคียงกันขึ้นไป เช่น น้ำหนัก 400, 600, 800 เป็นต้นหรือย้ายปลูกจาก “จุก” ก็ต้องชั่งคัดแยกขนาดเช่นกัน เวลาปลูกก็ต้องปลูกเป็นชุดๆ จะทำให้การเจริญเติบโตของตันสม่ำเสมอกันทั้งแปลงซี่งง่ายต่อการจัดการดูแล ชุบสารป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนปลูกเพื่อลดการเกิดหรือระบาดของโรคยอดเน่าหรือต้นเน่า สารเคมีที่ใช้จะนิยมใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่ม “ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม” (เช่น อาสีเอท) โดยทั่วไปนิยมผสมยาเชื้อราในถัง 200 สิตร หรือ วงบ่อซีมนต์ เพื่อชุบตันพันธุ์ แต่หากเป็นแปลงปลูกขนาดใหญ่ก็จะใช้รถลำเสียงพันธุ์ปลูกไปตามสายพานลงชุบในถังสารเคมีขนาดใหญ่ ถ้าพบเพลี้ยแป้งมากับหน่อพันธุ์ก็อาจจะต้องผสมสารป้องกันกำจัดแมลงลงไปด้วยโดยจะชุบต้นพันธุ์นานประมาณ 3-5 นาที จึงนำไปปลูก
การเตรียมต้นพันธุ์ จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (ระยะอนุบาล)
เมื่อทำการย้ายต้นเนื้อเยื่อสับปะรดปลูกลงถาดหลุมจะทำการอนุบาลอยู่ในถาดประมาณ 2 เดือน อนุบาลในโรงเรือนที่มีอุณหภูมิประมาณ 28-32 องศาเซลเซียสและมีการรดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือแล้วแต่
สภาพภูมิอากาศ มีการให้ปุ๋ยทางใบสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สูตร 25-5-5 ถ้าพบว่าสับปะรดรับประทานผลสดพันธุ์ MD2 มีอาการเน่า ให้ใช้ยาป้องกันการเกิดเชื้อราฟอสอีสทิล-อะลูมิเนียม ฉีดพ่นปริมาณตามข้างกล่องหลังจากนั้นจะนำปลูกลงถุงเพาะชำเพื่อเตรียมที่จะนำไปปลูกลงแปลงต่อไป
ระยะปลูกลงถุงเพาะชำ
นำต้นสับปะรดจากถาดหลุมมาล้างราก แช่สารป้องกันการเกิดเชื้อรา 35 นาที และนำปลูกลงถุงเพาะชำ
ขนาด 2.5×6 นิ้ว โดยเลี้ยงอยู่ในถุงเพาะชำประมาณ 4 เตือน เพื่อให้ต้นพันธุ์มีขนาดที่สามารถนำไปลงแปลงได้
รดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทำการพ่นปุยทางใบ ใช้สูตร 16-16-16 สัปตาห์ละ 1 ครั้ง
การลงแปลงปลูก
ถ้าพื้นที่ปลูกสับปะรดเป็นดินทราย ซึ่งค่อนข้างขาดอินทรียวัตถุมาก ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ้ยหมักในช่วงของการเตรียมแปลงเป็นอันดับแรก เลือกใช้ปุ๋ยคอกขี้ไก่แกลบโดยจะโรยเป็นแถวหลังไถแปรตามแนวร่องปลูก
เน้นย้ำว่าการปลูกสับปะรดจะต้องทำให้สับปะรดงามและเจริญเติบโตร็วมากที่สุดในช่วง 5 เดือนแรก อย่าให้ต้น
ชะงักการเจริญเติบโตเป็นอันขาด ต้องทำน้ำหนักต้นให้ได้น้ำหนักราว 2.5 กิโลกรัม เพราะเป็นน้ำหนักต้นที่เหมาะ
แก่การบังคับให้ออกดอกมากที่สุด
การให้ปุ๋ยต้นพันธุ์สับปะรด
เมื่อต้นพันธุ์สับปะรดมีอายุได้ 23 เดือนหลังการปลูกซึ่งเป็นช่วงของการสร้างราก จะเริ่มให้ปุยทางตินครั้งแรกโดยเป็นสูตรปุ๋ยที่มีในโตรเจนสูง (N) เช่น สูตร 15-5-20 หรือ 21-0-0 หรือสูตร 16-16-16 ตามความสมบูรณ์ของสภาพดินในพื้นที่ การใส่ปุ๋ยให้ใส่ชิดโคนตัน อัตราประมาณ 20 กรัมต่อต้น ต้องระวังอย่าให้
ปุ๋ยกระเด็นตกลงไปที่ยอดสับปะรด เพราะจะทำให้ยอดไหม้และเน่าได้ จากนั้นในเดือนที่ 4-6 ให้ใส่ปุ๋ยที่มี
ตัวท้ายสูง คือ โพแทสเชียม เช่น สูตร 15-5-20 อัตรา 20 กรัมต่อต้น ให้ใส่ปุ๋ยบริเวณกาบใบล่างของต้นสับปะรด
ได้เลย ควรใส่ปุ๋ยในขณะที่กาบใบมีน้ำอยู่อย่างพอเพียงหรือหลังจากมีการให้น้ำแก่ต้นสับปะรดแล้วมีน้ำค้างขังอยู่ที่กาบใบ จะทำให้ปุ๋ยละลายได้ดี ปุ๋ยทางใบก็สามารถเสริมให้ต้นสับปะรดได้เดือนละ 1 ครั้งตามความเหมาะสม โดยจะเน้นปุ๋ยสูตรที่มีไนโตรเจน (N)และโพแทสเชียม (K) สูง และควรเพิ่มธาตุอาหารเสริมเช่น เหล็ก และสังกะสี ลงไปด้วย
วิธีการบังคับให้ออกดอก
เมื่อต้นสับปะรดมีขนาดน้ำหนัก 2.5 กิโลกรัมต่อต้นก็จะพร้อมที่จะบังคับให้ออกดอก นิยมฉีตพ่นด้วย
สาร “เอทิฟอน” อัตรา 100 ซีซี บวกกับปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 3 กิโลกรัม โดยทั้งหมดจะผสมกับน้ำ จำนวน 200 สิตร จะฉีดด้วยสุตรนี้2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกัน 5-10 วัน ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการฉีตพ่น บังคับดอกคือ ช่วง 20.00-22.00 น. และสภาพอากาศ ควรจะมีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเชียส จะทำให้การบังคับให้ต้นออกดอกค่อนข้างเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากบังคับดอกแล้วอีก 40-45 วัน จะเริ่มเห็นสับปะรดเป็นจุดแดงอยู่ภายในยอด ต่อมา 60-70 วัน จะเห็นผลสับปะรดขนาดเล็กทรงกลมสีแดงโผล่ขึ้นมาจากยอด อาจมีดอกสีม่วงอยู่ด้วย ดอกจะเริ่มบานจากฐานไปยอดผลประมาณ 90 วัน ดอกดังกล่าวก็จะแห้ง แล้วเข้าสู่ระบวนการขยายขนาดของผล ที่จะต้องให้ปุ๋ยที่มีตัวท้ายสูง คือโพแทสเซียม (K) เช่น 0-0-50 ห้ามมีการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน (N) หรือปุ้ยไนเตรตต่างๆ เพราะจะทำให้เกิดการสะสม “ไนโตรเจน” ในผลสับปะรด ซึ่งจะเป็นปัญหาสำคัญในการรับซื้อผลผลิตจากโรงงานที่ต้องมีการตรวจสารไนเตรตก่อน
Recent Comments